Fanfiction นี้อาจมีเนื้อหาและคำที่ไม่สุภาพ กรุณาใช้วิจรณญาณในการอ่านด้วยงับ |
Title - My Twins รักนะพี่ชายของผม
Author - Kapunoii Rate - PG15
Genre - Yaoi Pairing - Kwangmin x Youngmin
Type - Thailand fic Status - Ending
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด!!
อยู่ๆ เสียงข้อความบนมือถือของผมก็ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยในยามเช้า ผมเลื่อนมือไปหยิบเจ้ามือถือสุดไฮเทคเครื่องละหลายวอนขึ้นมาเปิดอ่านข้อความที่พึ่งส่งเข้ามาเมื่อกี้
‘ทำอะไรอยู่ครับพี่ อย่ามาสายล่ะ’
ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัยกับข้อความแปลกประหลาด ก่อนจะก้มลงไปอ่านใหม่อีกครั้งเผื่อว่าผมจะอ่านมันผิด ไม่น่าเชื่อหรือผมฝันไปกันแน่หรือว่าผมไปสะดุดขี้มดแถวไหนจนหัวโขกพื้นแล้วกำลังฝัน ในเมื่อจู่ๆ น้องชายที่สุดแสนจะเย็นชาของผมมันดันส่งข้อความที่ดูเป็นห่วงเป็นใยมาให้กัน
หรือจะส่งมาผิดเบอร์ แต่เรียกเราว่าพี่ชายนี่หว่า?
“ร้อยวันพันปีไม่ยักกะส่งข้อความแบบนี้มา ไหงวันนี้แมร่งไม่สบายหรือกินยาผิดลืมเขย่าขวด?” นี่ผมควรจะดีใจกับข้อความแบบนี้ของน้องชายฝาแฝดของผมดีหรือเปล่า จนแล้วจนรอดผมก็ไม่อยากเชื่อข้อความที่อ่านวนเป็นสิบๆ รอบ
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด
‘รู้นะว่าพี่กำลังแอบนินทาผมอยู่ ผมยังสบายดีไม่ต้องอิมเมจิ้นไปไกลขนาดนั้นครับ =w=’
“เห้ย!? ไอ้กวังมินมันรู้ได้ไงว่ะ” ผมร้องลั่นด้วยความตกใจเมื่อข้อความที่ผมอ่านมันเหมือนกับว่าน้องชายของผมเขาได้คาดการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ว่าผมจะต้องแอบนินทาว่าร้ายถึงน้องของผมเอง ก็รู้ว่าเป็นฝาแฝดกันมันก็ต้องมีจิตสื่อถึงกันได้แต่นี้มันไม่เวอร์ไปหน่อยหรอ ไม่ใช่การ์ตูนหรือละครหลังข่าวหรอกนะ หรือว่ามันจะมีเทลาพาธีจริง?
“โอ้ยยยย เกือบเข้าเรียนไม่ทันแล้วไง” เพราะมัวคิดถึงแต่เรื่องการกระทำของน้องชายที่ผิดแปลกไป วันนี้ผมเกือบเข้าเรียนสายอย่างที่มันส่งเมสเสสมาเตือนแล้วเชียว
“โย่ว! ไงยองมินวันนี้มาฉิวเฉียดเลยนะว่ะครับ ^v^” ไอ้เจ้าเพื่อนสนิทผมเองล่ะครับมันชื่อไอ้เชี่ยมินวู เปิดประตูห้องเรียนเข้ามาเป็นต้องได้ยินเสียงแมร่งเห่าหอนทุกเช้า
“ไงครับไอ้คุณเพื่อน วันนี้มึงเป็นห่วงกูหรอครับ? คือกูควจจะดีใจและสรรเสริญมึงใช่ป่ะที่เป็นห่วงเป็นใยกูขนาดนี้” ผมตอบกลับอย่างกวนตีนตามแบบฉบับของวัยรุ่นสุดฮอตหน้าหล่อ และพ่อแม่สั่งสอนมาดีใส่ไอ้เจ้ามินวู
“มึงจะสรรเสริญ ยกย่องหรือเยินยอกูก็ได้นะครับกูไม่ถือ :b” ไอ้มินวูมันพูดจากวนประสาทผมกลับ
“ถ้ามึงไม่ถือ มึงก็วางมันไว้ยนหัวมึงก็ได้นะครับไอ้มินวู :D” ผมไม่ยอมแพ้ที่จะกวนมันกลับคืน ไม่งั้นไม่ได้ชื่อว่าเพื่อนสนิทหรอกถ้าเอาแต่เงียบปากยอมให้มันกวนบาทาผมเนี้ย
“มึงจะมีสักวันไหมครับไอ้ยองมิน ที่มึงจะไม่กวนส้นตีนกูเนี้ย?” ไอ้มินวูยืนเท้าเอวเลิกคิ้วข้างนึงขึ้นมาถามผม
“ถ้ามีวันนั้นขึ้นมา มึงคงต้องเตรียมผ้าอนามัยมาซับเมนส์มึงแล้วละครับไอ้คุณมินวู” ผมเถียงกลับอย่างไม่ยี่ละ จะเป็นแบบนี้ทุกเช้าของการเข้าเรียนที่เข้ามาแล้วจะต้องจิกกัดกันตลอด ไม่ใช่ว่าพวกผมไม่ถูกกันจริงๆ นะครับไอ้เนี้ยเพื่อนสนิทผมเลย เพราะสนิทกันมากมันถึงเล่นหัวลามปามผมมาตลอดอย่างงี้ละ
ถ้าไม่กวนตีนกันมันจะอยู่ไม่ได้
“นี่พี่กับมินวูจะเลิกกัดกันได้ยังครับเนี้ย อาจารย์จะเข้าสอนแล้วนะครับ” ไม่ใช่เสียงใครที่ไหนครับเสียงน้องของผมเองไอ้กวังมินนั้นละครับ นี่ก็ผู้ดีเกิ๊นน้องใครว่ะเนี้ยนิสัยไม่เหมือนกันเลยเหอะ
“ครับพี่ไม่ทราบว่าใครเป็นพี่เป็นน้องกันแน่แล้วครับเนี้ย ห้ามทัพกูตลอด” ผมหันไปแขวะไอ้กวังมินก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะเรียนข้างๆ ไอ้น้องชายฝาแฝดของผม นับวันมันจะทำตัวเป็นพี่ชายผมแทนล่ะ ทั้งๆ ที่ผมเกิดก่อนแท้ๆ เคารพกูหน่อยสิเว้ยเห้ยถึงจะเกิดก่อนแค่ไม่กี่นาทีก็ตามอ่ะนะ =A=
“นี่พี่จะพูดจาดีๆ เหมือนที่คนเขาพูดกันไม่เป็นหรอครับ?” นี่มันด่าผมใช่ไหมเนี้ยหรือผมคิดไปเอง
“โอ้ยคุณน้องครับ คุณน้องต้องให้กูพูดแบบนี้หรอครับถึงจะดูดีมีชาติตระกูลน่ะ” ผมหันมาพูดล้อเลียนกวนประสาทมันกลับ ไม่รู้ปากผมมีหมาอยู่ในปากหรือเปล่าถึงต้องพูดจาหมาๆ แบบนี้ทุกวันสิหน่า
“นี่พี่กำลังล้อเลียนผมอยู่รึเปล่า?” อยากจะตอบว่าใช่แต่พอหันกลับไปมองหน้ามันดันนิ่งเรียบซะจนน่ากลัว เห้ยผมไม่ได้กลัวมันนะครับแค่แอบเกรงใจน้องชายผมก็เท่านั้นเอ๊ง!
“อ่อไม่ล่ะครับคุณน้อง พี่ไม่กล้าล้อเลียนคุณน้องหรอกนะครับ” ผมตอบกลับไปก่อนจะหันไปเห็นอาจารย์ป้าแกเดินเข้ามา
“อ่ะ! จารย์เข้ามาสอนพอดีเลย เรียนครับเรียนเดี๋ยวสอบไม่ผ่านครับคุณน้อง” ผมหันกลับไปบอกกับไอ้กวังมินพร้อมกับส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้มัน
มันคงเป็นโชคดีของผมแล้วล่ะมั้งเนี้ยที่อยู่ๆ อาจารย์ป้าแก็เข้ามาสอนพอดีเชียวไม่งั้นไอ้น้องคนนี้เวลามันโมโหแล้วน่ากลัวยิ่งกว่าหมาบ้าหรือไฮยีน่าซะอีก พับผ่าสิหล่อซะเปล่า = v =lll
ก็ใบหน้าเดียวกันนี่ครับ เหมือนชมตัวเองเลย ฮ่าๆๆ
“เห้ยว่าแต่คุณน้องครับ มึงโดนผีป่าสาไกที่ไหนเข้าสิงหรอว่ะ คุณมึงถึงส่งเมสเสสมาแบบนั้นให้คุณพี่ชายสุดหล่อเนี้ย” ผมนึกคำถามขึ้นได้เลยหันไปถามเจ้าน้องชายผมอย่างไม่ดังมาก เพราะกลัวอาจารย์ป้าแกจะทำโทษถ้าเห็นว่าแอบคุยกันอ่ะนะ แต่มันก็ดันเงียบไม่ยอมพูดยอมจากับผมจนผมต้องถามต่อไปอีก
“ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นอยากจะส่ง วันนี้เกิดพิศวาสอะไรพี่ชายสุดหล่อคนนี้ขึ้นมาหรอครับ” ผมเลิกคิ้วขึ้นมาถามมันต่อไปอีก
“ก็แค่กลัวว่าจะมาไม่ทันแค่นั้นละ อีกอย่างวันนี้ผมมีซ้อมบาสตอนเช้าเลยต้องรีบออกมาก่อน กลัวพี่จะตื่นแล้วลงไปนอนต่อนะสิ” สารธยายออกมาซะยืดยาวจนผมต้องพยักหน้ารับ
“มึงเป็นห่วงก็หรอ ไอ้คุณน้องชาย?” หรี่ตามองไอ้น้องชายตัวดีอย่างจ้องจับผิด ความจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไรหรอกที่น้องชายคนนึงจะเป็นห่วงพี่ชาย แต่กับไอ้กวังมินคนนี้มันดันไม่เหมือนชาวบ้านเขานี่สิ มันดันชอบผมเกินกว่าคำว่าพี่ชาย เอ๋ไม่ใช่ชอบสิมันหลงรักผมเลยเนี้ย
ผมไม่ได้พูดหรือคิดเข้าข้างตัวเองนะครับ ผมรู้ว่าผมหล่อกว่ามัน หน้าตาดีกว่ามันเพราะอย่างนี้ถึงได้หลงผมไงละ แต่ก็ดันไม่ยอมพูดออกมาตรงๆ ว่าแอบรักผมมัวแต่เก็บเอาไว้ในใจอยู่ได้
“เงียบหาพี่หรอครับคุณน้อง?” ดันพูดว่าตัวเองซะได้ลืมไปว่าเป็นพี่ไม่ใช่น้องชายมัน = =”
“..........” และมันก็ยังไม่พูดอะไร
“นี่สรุปมึงจะไม่ตอบใช่ป่ะ ว่ามึงเป็นห่วงกูอ่ะ =A=” ผมถามย้ำไปอีกรอบ เผื่อจะเรียกสติจากมันได้
“..........” และมันก็เหลวไม่เป็นท่าเมื่อมันไม่ยอมตอบ
ยองมินผิดอาร๊ายยยย ไอ้กวังมินมันถึงได้เงียบเยี่ยงนี้!!!
เงียบครับไม่มีสัญญาณจากคนข้างๆ กายผมแม้แต่แอะเดียวที่จะตอบกลับหรือส่งสัญญาณมาให้รับรู้ว่ามันยังมีวิญญาณอยู่ ไอ้ผมก็รู้ว่ามันหล่อแต่ไม่ต้องพ่วงด้วยคำว่าหยิ่งได้ไหม? จะตอบให้ชื่นใจหน่อยก็ไม่ได้มัวแต่เก๊กหล่ออยู่นั้นละมันแดรกได้ไหมไอ้คำว่าเก๊กเนี้ย
“เออถ้ามึงจะไม่ตอบกู กูจะได้ไม่ถามละ กูรำคาญ!!” ผมตัดบทไปเมื่อยังไม่เห็นมันปริปากเป็นเวลานาน เล่นตัวจริงๆ คนห่านไรไม่รู้
“...เป็นห่วง”
“อ้ากกกกกก!!” ผมตะโกนออกมาสุดเสียงเมื่อจู่ๆ ไอ้น้องชายตัวดีมันอยากจะปริปากพูดก็พูด ไม่ถงไม่ถามสุขภาพผมสักคำว่าผมพร้อมไหมที่จะรับฟัง พอตอนถามเสือกไม่ตอบพอตอนตอบเสือกตอบตอนไม่ได้ถามดีจริงๆ
และไม่ต้องถามเลยว่าหลังจากตะโกนไปแล้วผมจะเป็นยังไง หลังจากนั้นก็โดนอาจารย์ป้าแกทำโทษด้วยการไปขัดส้วมในห้องน้ำชายตามระเบียบครับ เพราะมันคนเดียวเลยที่ทำให้ผมต้องเป็นแบบนี้
ไอ้บ้ากวังมิน
“โรงเรียนเชี่ยไรว่ะห้องน้ำแม่งโครตทุเรสเลย ห้องส้วมหรือห้องเก็บขี้ว่ะแม่งมีแต่ขี้ ขี้ และก็ขี้พวกนี้แม่งขี้แล้วไม่ราดกันไงว่ะห่าเอ้ย ขนาดโถส้วมยังไม่ราดแล้วตูดพวกมึงเนี้ยได้ขัดถูไหมห๊าาาา!!!”
ผมตะโกนพร้อมกับดิ้นเร้าๆ ด่าไปทั่วอยู่ในห้องน้ำนึกไรได้ก็พูดใส่โถส้วมไม่ยั้งประหนึ่งเหมือนมันเป็นเพื่อนคอยระบายอารมณ์ผมประมาณนั้น ห้องน้ำแม่งโสโครกได้อีกอ่ะมีแต่งูเหลือม งูเง่า งูจงอาง อนาคอนด้าก็ยังมีกองอยู่ในโถชักโครกเนี้ยคดกันเป็นวงซ้อนๆ กันเป็นชั้นๆ เชียวเห็นแล้วอยากจะอ้วก!!
“ตะโกนแบบนั้นเดี๋ยวคนเขาก็ไม่กล้าเข้าห้องน้ำพอดี...” ผมสะดุ้งเฮือกกับเสียงของน้องชายที่เดินเข้ามาตอนไหนก็ไม่รู้ คนอาไร๊ผู้ดี๊ผู้ดีอ่ะแม่งใครสั่งใครสอนว่ะให้มันเป็นผู้ดี กูก็เรียนพร้อมมันเกิดพร้อมๆ กันยังไม่เห็นจะเป็นผู้ดีมีสกุลห่านไรเลย
“เออดี แม่งจะได้ไม่ต้องมาขี้แล้วให้กูล้างส้วม =w=a” ผมตอบไอ้กวังมินกลับไปมือผมก็ยังถือไม้ถูพื้นติดมือไว้อยู่
“แล้วพี่จะตะโกนลั่นห้องทำไม เรื่องแค่นี้เองทำเป็นตกใจใหญ่โตไปได้” สรุปกูผิดใช่ป่ะ? แอบถามตัวเองในใจ
“ตอนกูถามมึงตั้งนานเสือกไม่ตอบ พอจะตอบก็ไม่ส่งซิกมาบอกก่อนกูก็ตกใจสิว่ะ” ผมกรอกตาไปมาเมื่อมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมว่าผมไม่ผิดนะมันต่างหากที่ผิดอ่ะ
แอบลอบมองดูใบหน้าไอ้น้องชายสุดหล่อของผม มันทำท่าถอนหายใจเล็กน้อยแล้วแม่งก็ดึงไม้ถูพื้นผมไป จะช่วยก็เสือกไม่ไปหยิบมาใหม่ดันมาแย่งจากมือผมไปซะงั้นคนอะไรขี้เกียจจริงๆ
“มาผมช่วย” เสมือนสำเนียกตัวเองได้ว่ามันเป็นฝ่ายผิด ที่ทำให้ผมต้องมารับโทษที่โครตจะหนักหนาในความคิดผมอ่ะนะ
“เออๆ ใจมาก” ผมตบไปบ่าใหญ่ของน้องชาย
หึหึตอนนี้ไอ้เจ้าน้องชายตัวดีมันก็เป็นทาสผมไปแล้ว พอมันเอาไม้ถูพื้นไปผมก็สบายอุราลัลล้าอยู่ในห้องน้ำประหนึ่งว่ามันไม่ใช่ห้องน้ำมาก่อน ให้มันออกแรงถูไปคนเดียวโทษฐานทำให้ผมถูกทำโทษ
ไอ้บรรยากาศเงียบๆ แบบนี้ผมไม่ค่อยชอบเลยสิครับพับผ่าสิอึดอัดชะมัดยาด แม่งไม่พูดห่านไรสักคำกูจะลงแดงตายห่าได้แล้ว เออดีไม่ชวนกูคุยกูชวนเองก็ได้ว่ะ
“...มึงคิดยังไงกับกูว่ะ” อ้าอยู่ๆ ผมก็พูดอะไรออกไปไม่รู้ ดันชวนคุยในเรื่องที่ไม่ชวนซะได้อ้ากกก
“.....” ห่านเอ้ยมันหยิ่งอีกแล้วไม่ยอมตอบผมซะงั้น ก็รู้หรอกว่าดันถามเรื่องที่ไม่ควรถามแต่ก็น่าจะตอบบ้าง
“ถามอะ ตอบเดะ!!” ผมเน้นย้ำไปอีกรอบไม่รู้มันเป็นบ้าไรชอบให้ผมพูดซ้ำหลายๆ รอบ
“.....” ห่านเอ้ย! นี้กูคุยกับคนหรือควายว่ะ กูว่ากูพูดภาษาคนนะแม่งยังไม่รู้เรื่องเลย เอ๊ะ!?หรือเราต้องพูดภาษาควายจริงๆ มันถึงจะเข้าใจ
แล้วใครมันจะบ้าคุยภาษาควายละครับ
“ถ้าครั้งนี้มึงไม่ตอบกูจะงอนแล้วนะ” ผมชักแขนขึ้นกอดอกอย่างรวดเร็ว แสดงท่าทางตอแหลใส่น้องผมว่าผมจะงอนจริงตามที่บอก
“.....” โอ้ยย!! นี่แม่งจะไม่ตอบกูจริงๆ ใช่ม้ายยยย เดี๋ยวกูก็ดิ้นเร้าๆ ตามเพลง boyfriend มันอยู่ตรงนี้เลย TTvTT เริ่มหมดกำลังใจจะถาม
“หมายความว่ายังไง....” ดีใจเวอร์อ่ะเมื่อมันตอบผมกลับมา โอ้ยไอ้เราก็นึกว่าแม่งจะฟังภาษาคนไม่ออกแล้วซะอีก แล้วต้องให้ผมสปีคเป็นภาษาบัพฟาโร่ซะล่ะ ; w ;
“ก็ตรงๆ เลยนั่นละ รักกูหรอ...ที่มากกว่าพี่ชายอ่ะ” ต่อมอยากรู้อยากเห็นของผมเริ่มทำงาน สายตาผมเป็นประกายวิ้งวับมากๆ อ่ะรู้เลยว่าตอนนี้แบ๊วเวอร์
และเป็นอันให้ความคิดของผมหยุดกึก เมื่อมันเงียบไปอีกครั้งแต่ครั้งนี้สีหน้ามันดูจะซีเรียสเคร่งเครียดจัด นี้กูถามเรื่องที่ซีเรียสขนาดนั้นเลยหรอว่ะ?
“....อืมรัก” ผมอึ้งกับคำตอบเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้อะไรเลยนะแต่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะตอบผมด้วยใบหน้าที่จริงจัง แล้วตลอดมามันอมขี้ไว้หรอไงถึงได้ไม่ยอมตอบผม กว่าจะได้คำตอบแต่ละคำแม่งยากยิ่งกว่าดูดส้วมในห้องน้ำนี้ซะอีก
“แล้ว...พี่ล่ะ” มันหันกลับมาถามผมด้วยสีหน้าซีเรียส อ้าา!!ผมจะตอบยังไงกับมันไปดี
“กู? กูทำไมหรอครับ” ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ถามมันกลับ อยากจะถามมันจริงๆ ว่าจะพูดให้จบไปเลยทั้งประโยคไม่ได้หรอไง ทำไมถึงต้องเว้นไว้เป็นช่วงๆ ผมโง่นะครับไม่ได้ฉลาดขนาดน้านน!!
“พี่คิดยังไงกับผมบ้าง”
“.....” ผมใบ้แดรกเพราะผมไม่รู้ว่าจะสรรหาคำไหนมาบอกมันดี ตัวผมเองยังไม่รู้เลยว่าผมรักมันหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่ได้รังเกียจมันเลยนะที่มันเป็นเกย์แล้วมาชอบผมเนี้ย หรือเพราะว่าเราสองคนเป็นฝาแฝดกันนะ ช่างเป็นข้ออ้างที่ทุเรสมากเลยแหะ
“กูไม่รู้ว่ะ” ผมตอบตามความจริงตอนนี้ผมคิดจนสับสนไปหมด สมองงี้เบลอเลยรอยหยักที่เคยมีในสมองนิดหน่อยตอนนี้เรียบแปล้ไม่เหลือความฉลาดไว้ให้ดูต่างหน้าเลย ใครมันเป็นคนเริ่มถามเรื่องบ้าๆ แบบนี้ว่ะไปไม่เป็นเลยให้ตายเหอะ
“อืมไม่เป็นไรหรอกครับ ผมรู้ว่าพี่ต้องรู้สึกไม่ดีแน่ๆ ที่ผมคิดกับพี่...เกินพี่ชายคนนึง” สีหน้ามันสลดลงมาอย่างเห็นได้ชัด แม่งดราม่าสุดๆ อะครับ มาดราม่าใส่ผมอย่างงี้ผมจะต้องดราม่าบีบน้ำตากลับไปไหม
“ก็เปล่ากูไม่เคยรู้สึกอะไรไม่ดีกับมึงเลยนะ” ผมยักไหล่ตอบตามความจริง
“จริงหรอครับ?” ดูท่าไอ้น้องชายผมมันจะไม่เชื่อผมเลยให้ตายเหอะ
“เออ! จริง เพียงแต่แค่ยังไม่แน่ใจตัวเองเท่านั้นล่ะ” ผมย้ำคำก่อนเพื่อยืนยันตัวเองเพราะตอนนี้ผมยังสับสนตัวเองอยู่ว่าคิดยังไงกับไอ้น้องชายคนนี้กันแน่
“แต่ไม่ได้รังเกลียดแน่นอน” และเป็นอีกรอบที่ผมเน้นย้ำคำอย่างหนักแน่น จะให้ผมรังเกลียดน้องชายแท้ๆ ที่คลอดตามกันมาได้ยังไงกันล่ะ
“แล้วถ้าผม...จะรักพี่อย่างนี้ต่อไป...จะได้ไหม?” สายตาของกวังมินที่ส่งมาให้ผม ดูเหมือนว่าต้องการจะขอความหวังและคำตอบกับผมเหลือเกิน
“หัวใจมึง กูห้ามไม่ได้หรอกนะ” เท่โครตอ่ะผมพูดพร้อมยืดตัวขึ้นเล็กน้อยหลังจากจบประโยค ไม่อยากจะเชื่อว่าสมองอย่างผมจะคิดคำแมนๆ อย่างนี้ได้
“ถ้างั้นผมขอมัดจำไว้ก่อนนะครับ” มันยิ้มกรุ่มกริ่มทำให้ผมขนลุกซู่ขึ้นมา น้อยครั้งนักที่จะเห็นใบหน้านิ่งเฉยนี้ยิ้มได้
“มัดจำอะไรของมึง?” อยู่ๆ ไอ้กวังมินมันก็รั้งเอวผมไปชิดกับตัวมันอย่างรวดเร็ว
เห้ยหน้าอ่ะ หน้าๆ หน้ามึงอ่ะใกล้กูไปแล้วนะ หน้.....
ตอนนี้ผมไม่รับรู้อะไรอีกแล้วหลังจากที่กวังมินมันยื่นหน้าเข้ามาจูบผมอย่างช้าๆ ดันไม่จูบธรรมดาซะด้วยมันดันเอาลิ้นเข้ามากวัดเกี่ยวกับลิ้นของผมอย่างถือวิสาสะจนหัวผมหมุนติ้วไปหมด
ทำไมมันจูบเก่งจังว่ะ
หลังจากนั้นผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองกลับมาจากบ้านได้ยังไงตอนนี้ยังเบลอไม่หายเลย คิดแล้วหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมาซะงั้น
หลังจากวันนั้นนี่ก็ผ่านมาสองอาทิตย์แล้ว ผมทำตัวเหมือนอากาศธาตุดีๆ นี้เอง ล่องลอยแหวกว่ายไปเหมือนกำลังอยู่ในห้วงแห่งฝัน ฝันบ้าฝันบออะไรเล่นจูบจริงซะขนาดนั้น แถมอยู่ใกล้มันต้องใจเต้นตลอดเวลาด้วย นี้ผมเป็นบ้าอะไรไปแล้วเนี่ยหรือเพราะผมหลุดวงโคจรจนกู่ไม่กลับไปแล้ว
“โย่วไอ้ยองมิน” อ้าเสียงของไอ้มินวูมันทักผมขึ้นมาหลังจากเดินเข้าห้องเรียน ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะกวนตีนมันเท่าไหร่
“เออไง” ผมตอบอย่างปัดๆ จนตาโตอย่างไม่เชื่อหูตัวเองที่เห็นผมไม่มีอารมณ์ร่วมด้วยกับมัน
“มึงเป็นไข้หรอว่ะ หน้านี้เอ๋อไม่เป็นผู้เป็นคนเชียว” ไอ้มินวูมันยื่นมือมาอังหน้าผากผมหลายๆ ที เพื่อตรวจดูให้แน่ใจว่าผมไม่ได้เป็นไข้ อยากจะตอบไปว่าผมน่ะสบายดีทุกส่วนของร่างกายนี่ล่ะครับ แต่มีอย่างเดียวที่ไม่สบาย
คือหัวใจผมนี่ล่ะ
“เปล่าสบายดี” ผมปัดมือที่มันอังหน้าผากผมอยู่ไม่ปล่อยออก
“พี่ไม่เป็นไรมากน่ะ” จู่ๆ ผมก็รู้สึกว่าใบหน้าผมมันร้อนผ่าวไปหมดทั่วทั้งหน้า เสียงหัวใจของผมที่มันเต้นแรงจนกลัวว่าคนที่เข้ามาใหม่จะได้ยินเสียงที่มันเต้นดังโครมคราวตรงอกนี้
ไม่ค่อยกล้าสู้หน้ามันเลย ให้ตายเหอะ
“สบายดีหน่า” ผมฝืนยิ้มตอบออกไป เหงื่อเม็ดเล็กเริ่มผุดขึ้นมาบริเวณขยับบนหน้าผม หวังว่าผมคงไม่ทำสีหน้าประหลาดๆ ออกไปให้ไอ้กวังมินมันดูหรอกน่ะ
“ตั้งแต่วันนั้น เหมือนพี่หลบหน้าผมตลอดเลย” ผมทำสีหน้าไม่ถูกเลย เมื่อมันเป็นอย่างที่ไอ้กวังมินพูดจริงๆ ขนาดอยู่บ้านเดียวกันผมกับมันยังไม่ค่อยได้เจอกันเลยก็เล่นหลบตั้งแต่ตื่นยันนอน
“มะ...ไม่ใช่หรอกหน่า มึงคิดมากไปเปล่าว่ะ”
“หรือพี่รังเกลียดผมแล้ว...” หน้าของไอ้กวังมินมันหงอยเหมือนหน้าเลย อดทำผมปวดใจไม่ได้
“มะ...ไม่ใช่สักหน่อย ไม่ใช่น่ะ!” ผมตะโกนออกไปบอกมันมือไม้ปัดป่ายไปทั่วหวังจะให้ไอ้กวังมินมันรู้ว่าผมไม่ได้คิดแบบนั้น ผมนะหรอที่จะเกลียดมันออกจะรักมันขนา...อาเร๊ะ!? เมื่อกี้ตูคิดอะไรอยู่รักงั้นหรอ รักบ้ารักบออะไรเล่า ไม่ใช่หรอกหน่า ฮาฮาฮา...แล้วถ้าสมมุติว่ามันเรื่องจริงล่ะ
นี่เราหลงรักน้องตัวเองไปแล้วหรอเนี่ย O////Oa
แล้วถ้าเกิดรู้ใจตัวเองขึ้นมาแล้ว แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะต้องบอกมันออกไปเลยไหมว่ารัก ตอนนี้เลยแล้วกัน
“กะ...กวังมิน” นี่ผมเป็นอะไรไปเนี่ย ผมกำลังทำตัวแปลกไปเหมือนคนบ้าไม่มีผิด แค่เรียกชื่อน้องชายตัวเองแค่นี้ก็ต้องเสียงสั่น
“ครับพี่?” กวังมินขานรับผมกลับมาเหมือนอย่างเคย ทำไมมึงใจเย็นจังว่ะดูกูสิจะเป็นจะตายให้ได้เลยตอนนี้ นี่ตูหน้าแดงหรือเปล่านิ เดี๋ยวแม่งสังเกตเห็นอายตายเลย
“กู...ระ...” เสียงผมขาดหายไปเมื่ออยู่ๆ ไอ้มินวูก็ตะโกนขึ้นมาทำให้ผมต้องกลืนคำพูดที่พูดค้างเอาไว้ลงคออย่างเสียดาย
“เห้ยย! ไอ้ยองมินมึงไม่สบายจริงด้วยว่ะ หน้างี้แดงหนักเชียว” ผมอยากจะประเคนฝ่าตีนไปกระทืบไอ้มินวูจริงๆ ที่กล้ามาขัดคำพูดผมตอนนี้ อยากจะบอกว่าที่มึงเห็นกูหน้าแดงเพราะว่ากูกำลังเขินอายเว้ยไม่ใช่เป็นไข้ แม่งเล่นตัดบทกูทิ้งดื้อๆ เลย
“เปล่ากูไม่ได้เป็นอะไร” ผมว่าเสียงเย็นแต่ในใจผมนี่สิไม่อยากจะเย็นด้วยหรอกน่ะ หงุดหงิดโว้ยยย
“แต่หน้ามึงแดงมากเลยนะเว้ยเหมือนมะเขือเลย” ถ้ากูไม่หน้าแดงก็แปลกล่ะไอ้ฟายยย ไม่รู้ว่าแม่งจะมาเป็นห่วงเป็นใยอะไรกับผมตอนนี้ว่ะ กูหมดอารมณ์จะสารภาพรักกับน้องกูแล้วนะเว้ย แทนที่แม่งจะยืนเหมือนตัวประกอบธรรมดาๆ ไม่มีหรอกโถ่เว้ยยย
“เออชั่งกู มึงไม่ต้องเสือกนู้นอาจารย์เข้าแล้ว เงียบปากมึงสักที” ผมพูดแล้วชี้ไปทางหน้าห้องเรียนที่มีอาจารย์ประจำวิชาเดินเข้ามา
“เออๆ กูอุตส่าเป็นห่วง ดูมึงพูดเข้าดิ” ไอ้มินวูตัดพ้อผมตาละห้อย ช่างมันผมไม่แคร์ขนาดตัวเองยังเอาตัวไม่รอดเลย จะไปสนใจมันตอนนี้ทำซากอะไร
“ไอ้กวังมิน งั้นไว้ค่อยคุยตอนเที่ยงแล้วกันว่ะ” ผมหันกลับไปตอบกับไอ้กวังมินก่อนจะเดินไปที่โต๊ะของผมแล้วฟุบลงไปกับพื้นโต๊ะ
“ได้ครับ” เสียงของไอ้กวังมินเดินมาบอกที่โต๊ะผมก่อนมันจะเดินไปนั่งโต๊ะตัวข้างๆ ที่อยู่ใกล้ๆ ผม
ตอนนี้ก็เที่ยงแล้วตื่นเต้นชะมัดเลยล่ะ ผมชะเง้อหน้าแล้วชะเง้อหน้าอีกเมื่อเห็นว่าไอ้กวังมินมันยังไม่โผล่หัวออกมา
หรือกูจะแดรกข้าวไวไป มันเลยมาช้า?
อ๊ะ! นั่นไงมันมาแล้วผมมัวแต่คิดอะไรบ้าบออยู่จนลืมที่จะจัดการแต่งเนื้อแต่งตัวให้ดูดีเลย
“พี่รอผมนานหรือเปล่าครับ” มันเดินมาหยุดยืนใกล้ๆ และเลิกคิ้วขึ้นมาถามผม ไม่อยากจะบอกว่าหล่อเวอร์
“กะ...ก็ไม่หนิ พึ่งมาเหมือนกัน” ตอแหลแบบหน้าด้านๆ พึ่งมาบ้านแป๊ะสิกูรอมึงจนรากขากูติดกับที่หมดล่ะ แม่งถ้าเป็นตอนกลางคืนขากูคงได้บริจาคเลือดไปเป็นแกนลอนชัวร์
“พี่นัดผมมาทำไมหรอ?” นี่มึงโง่หรือแกล้งโง่เนี่ย ถ้าไม่ใช่เรื่องที่จะคุยเมื่อตอนเช้าคิดหรอว่ากูจะยอมสละเวลานอนเพื่อมายืนให้รากติดขาแบบนี้
“ก็เรื่องที่กูพูดค้างไว้เมื่อตอนเช้านั่นล่ะ” ผมยิ้มออกไปน้อยๆ อย่างลำบากยากเย็นการที่จะเกร็งใบหน้าให้ยิ้มได้เนี่ยทำไมมันลำบากจังว่ะ
“แล้ว?”
“คือกู...กูระ...” ปากที่กำลังจะพูดออกไปก็เป็นอันต้องหยุดลงอีกรอบเมื่อเสียงที่คุ้นหูแม่งดังขึ้นมาอีกรอบของวัน
“เห้ยไอ้ยองมิน มึงอยู่นี่เองรุ้มั้ยอาจารย์แม่งให้กูตามมึงไปพบอ่ะ” โอ้ยอยากจะบ้าตายกับไอ้มินวู มันเป็นอะไรกับผมมากไหมนิรู้สึกขัดอกขัดใจมาตั้งแต่เช้าแล้ว อย่าให้กูเหลืออดน่ะไม่งั้นจะใช้หน้าแข้งฟาดปากเลย = A=
“ไว้ก่อนได้เปล่าว่ะ” ผมหันไปถามไอ้มินวู คือตอนนี้จะบอกว่ามันใช่เรื่องมั้ยที่มาตามเขาเนี่ย
“ไม่ได้ว่ะมึงเขารีบ ไม่งั้นกูไม่วิ่งมาตามหรอก” ผมตาละห้อยลงทันทีกับการสารภาพรักที่ล้มเหลวเป็นครั้งที่สอง ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วไปทำกรรมอะไรไว้มันถึงได้กลับมาเล่นงานผมแบบนี้
นี่สิน่ะที่เขาเรียกว่าอุปสรรค
ผมเดินตามไอ้มินวูไปจากตรงนี้ แอบหันหน้ากลับไปมองคนด้านหลังด้วยสายตาที่สั่นไหว เสียใจและเสียดายมากกับการสารภาพรักครั้งนี้ ไอ้กวังมินเห็นผมหน้าเจือนแทนที่มันจะเป็นห่วงแต่ไม่มีหรอก มันดันแอบขำระริกเอามือปิดปากตัวเองใหญ่
ตลกซะไม่มีล่ะสินะ
ตอนนี้เป็นเวลาเลิกเรียนสำหรับนักเรียนหลายๆ คนแล้ว หวังว่าครั้งนี้จะไม่มีมารผจญอย่างไอ้มินวูมาคอยขัดขวางอีกนะ เพราะไม่งั้นผมคงจะขอพอทีสำหรับการสารภาพรักในวันนี้ แค่คิดขึ้นมาหัวใจก็ปวดหนึบไปหมดล่ะ
“เห้ยไอ้กวังมิน” ผมหันมาเรียกน้องชายของตัวเองหลังจากที่จัดแจงเก็บของใส่กระเป๋า
“วันนี้กลับบ้านด้วยกันนะ” สายตาผมส่งไปอย่างเว้าวอนขอร้องล่ะอย่าปฏิเสธกูเลย = =a
“วันนี้พี่มาแปลกนะ หรือเพราะเรื่องเมื่อกลางวัน” กวังมินมันหันมาถามผมด้วยความสงสัย
“ก็ประมาณนั้นล่ะ” ผมพยักและพูดคำตอบออกไป แอบหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างเหนื่อยอ่อน ตอนนั้นเสียดายชะมัดเลย
“เห้ยออกมาเร็วๆ ดิว่ะไอ้กวังมิน” ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าประตูห้องแล้วหลังจากเก็บของเสร็จเรียบร้อย จะเรียกว่าเก็บก็ไม่ได้เพราะผมเล่นกวาดทุกอย่างบนโต๊ะลงกระเป๋าไปเลย เพราะกลัวว่าจะมีไอ้มินวูมาคอยขัดแข้งขัดขาผมอีก
“บ้านก็ไม่ได้หายไปไหนสักหน่อยนิครับ” ตอบกลับมาอย่างท่าทีไม่ทุกข์ร้อนเหมือนกับผมเลยสักกะนิ๊ด
“กูรู้ว่าบ้านแม่งไม่หนีหรอกแต่เข้าใจป่ะว่ากูรีบ!” ผมหันหน้าไปยืนเท้าสะเอวทำตาโตใส่ไอ้กวังมิน มันถอนหายใจเฮือกโตออกมากับท่าทีของผม
“เสร็จแล้ว” ผมพยักหน้ารับ
“เออดีงั้นป่ะ” ผมเดินนำมันออกไปรอยยิ้มผมเผยให้เห็นแบบเต็มๆ ตายิ่งออกมาไวเท่าไหร่ยิ่งดี ไม่มีมารมาคอยขัดขวางให้กวนใจเล่น
“สรุปพี่จะบอกอะไรผมล่ะ” เริ่มมาก็เข้าประเด็นเชียวนะมึง
“ยังจำวันนั้นได้ป่ะ” ผมเอานิ้วชี้มาวางขนาบกับแก้มพลางสื่อสายตาไป อายนะพอนึกไปถึงเรื่องวันนั้นแล้วหน้ามันก็ร้อนขึ้นมาอีกล่ะ
“วันนั้น....วันไหนหรอครับ” นี่มันลืมกันหรอไงฟระก็วันที่มึงขอมัดจำกูไงโว้ยยย รู้ว่าแม่งจำได้แต่ฟอร์มลืมก็ดูหน้ามันดิมีแอบยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งมาให้อยู่เนี่ย
“เออเดี๋ยวกูก็งอนให้อ่ะ” ผมกอดอกอย่างโดนคนขัดใจ
“ล้อเล่นหน่า ผมจำได้สิครับ” ไอ้กวังมินหันมาตอบผม ว่าและว่าแม่งต้องแกล้งลืมแต่ถ้ามันบอกว่าจำไม่ได้นะ
กูจะเอาส้นตีนยัดปากมึงรื้อฟื้นความจำเลย คอยดูเหอะ!
โทษฐานทำผมใจสั่นหวั่นไหวมาสองอาทิตย์ ตั้งสองอาทิตย์เชียวนะ!!
“สรุปว่าที่พี่พยายามมาทั้งหมด....จะบอกรักผมว่างั้น?”
“เห้ยย!” ตกใจอย่างเวอร์ๆ ที่ไอ้น้องของผมมันดันรู้ทัน รู้ดีงี้ไม่ไปเป็นผู้กำกับเลยล่ะ
“ระ...รู้แล้วหรอ” ผมถามออกไปอย่างหวั่นๆ เริ่มทำตัวไม่ถูกแล้วแหะมือไม้ไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหนดีมันทั้งตื่นเต้นระคนตกใจ
“ก็พอเดาได้จากปฎิกริยาของพี่น่ะ” นี่กูดูง่ายขนาดนั้นเลยหรอนิ
“แล้ว....เอาไง” ผมถามลุ้นว่ามันจะเอายังไงกับความรักที่มันผิดศีลธรรมแบบนี้ดี
“แล้วไงอะไรครับ?” อ้าวไอ้ห่านนี่มึงหมดรักกูแล้วหรอ แล้วดันให้ผมคิดมากฝ่ายเดียวไม่น่าเลยกู กูไม่น่ารู้สึกไปหลงรักมันเลยให้ตายเหอะ
ผมทำหน้าเหยเกใส่มันและดูเหมือนไอ้กังมินมันก็คงจะรู้จุดประสงค์ล่ะ เพราะผมเห็นมันกลั้นขำซะแทบตาย
นี่แกล้งกูแล้วมึงสนุกมากใช่ป่ะ
“หึหึ สรุปพี่หลงรักผมแล้ว...ใช่ป่ะ?” มันถามผมกลับอย่างคนถือไผ่เหนือกว่า ผมยอมครั้งนี้ครั้งเดียวหรอกนะ ผมไม่ตอบเพียงแต่พยักหน้าเป็นคำตอบส่งไปแทน ไม่กล้าบอกอ่ะมันน่าอาย
“ผมอยากได้ยินจากปากของพี่มากกว่า” มันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ส่งมาหาผม ใครมันจะไปพูดง่ายเหมือนมึงล่ะไอ้กวังมิน ผมเงียบอยู่นานกับการตัดสินใจครั้งนี้แต่เอาว่ะเป็นไงเป็นกันไม่โอกาสมันไม่ได้มีง่ายๆ หนิ
“ระ...รัก” ตอนนี้ผมว่าผมสามารถก้มหน้าจนติดดินได้เลย หน้าผมร้อนฉ่าไปหมดไม่กล้าเงยขึ้นมาเพราะรู้เลยว่าไอ้กวังมินคงจะจ้องมองยกใหญ่ ผมขอปฎิญาณตนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมก็จะไม่เงยหน้าเด็ดขาด
“ผมว่าถ้าพี่ไม่เงยหน้ามามองทางบ้างล่ะก็นะ พี่คงจะต้องเดินชนเสาไฟฟ้าชัวร์เลย” ออกปากเสนอแนะขึ้นมาเมื่อตอนนี้ร่างของพี่ชายเขาจะโดนไปชนเสาไฟฟ้าอยู่แล้ว
มันคิดหรอว่าผมจะเชื่อคนบ้าที่ไหนเดินชนเสาไฟฟ้าปัญญาอ่อนมาก แต่ก็ไม่ได้นะถ้าผมยังมัวแต่ก้มหน้าก้มตาหาแย้แดกแถวๆ ปลายตีนตัวเองต่อไปก็คงจะเป็นจริง
แล้วมันก็เป็นจริงอย่างที่ไอ้กวังมินบอกเลยครับ เหมือนเทวดาเล่นตลกแกล้งคนหล่อแบบผม ตอนนี้เดินชนเสาไฟฟ้าอย่างจังเลย เพราะดันไม่เชื่อคำเตือนของไอ้น้องบ้า มือผมคลำหน้าผากป่อยๆ จากเดิมที่ว่าอายแล้วพอมาทำไรเปิ่นๆ ให้มันมอง ผมโครตจะอายยิ่งกว่าเดิมเลย
อยากมุดดินหนี
“หึหึ บอกแล้วไม่ฟังเป็นไงล่ะ” ก็เจ็บดิว่ะ
“เป็นไงอะไรเล่า ก็คนมันอายนี่หว่า” เถียงกลับไปตามความจริงตอนนี้เห็นสารรูปตัวเองแล้วไม่ต่างจากเคะน้อยน่ารักไม่มีผิด
“อายทำไมกันผมรู้ตั้งนานแล้ว”
“รู้ว่าอะไร” ผมถามกลับอย่างสงสัย
“ก็รู้ว่าพี่คงติดใจรสจูบของผม จนลืมไม่ลงเก็บไปเพ้อฝันอยู่ทุกคืน....ผมจูบเก่งใช่ไหมล่ะ” อ้ากกก อยากจะเอาตีนยันปากมันจริงๆ มันรู้ไปซะทุกเรื่องของผมเลยทั้งๆ ที่นอนกันคนละห้อง
“อะ...ไอ้กวังมิน...ไอ้น้องบ้า...ไอ้หล่อ...ไอ้เท่...ไอ้ฉลาด...ไอ้...ไอ้...” ผมไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่ามันให้เจ็บใจเล่น ด่าอะไรไปมันก็ดีไปหมดทุกอย่าง มีแต่คำชมที่ด่าไปแต่คำด่าจริงๆ กลับสรรหามาด่าไม่เจอ
“นี่พี่ด่าหรือชมผมกันล่ะเนี่ย แต่อยากให้พี่รู้ไว้นะว่าผมก็ลืมรสจูบของพี่ไม่ลงเหมือนกัน...หวานชะมัด” นึกยังไงมันถึงพูดคำหน้าอายออกมาได้หน้าตาเฉย กะจะเอาให้ผมหน้าแดงจนขาดอากาศหายใจตายเลยใช่ไหม
เขินนะเนี่ยไอ้คำที่มึงแพร่มมาอ่ะ
“ผมว่า...ผมคงต้องลองจูบดูอีกครั้งแล้วล่ะ แต่ครั้งนี้ไม่มีมัดจำแล้วนะ พี่ต้องจ่ายให้ผมทั้งตัวและหัวใจเลย” ไม่นึกไม่ฝันว่าไอ้ที่มันเงียบๆ นิ่งๆ แท้จริงแล้วมันจะหื่นได้ขนาดนี้ นี่กูกลับใจทันไหมเนี่ย
เพราะผมมันดันมัวแต่คิดหาคำด่าไอ้น้องชายจอมเจ้าเล่ห์ ตอนนี้เลยกลายเป็นว่ามันมาจูบผมตั้งแต่ตอนไหนแล้วก็ไม่รู้ ริมฝีปากที่เคยขบเม้มที่กลีบปากมันกลับหนักขึ้นและรุนแรงขึ้น ลิ้นหนาของกวังมินมันเข้ามาผัวพันกับลิ้นผมที่ไม่ประสีประสา กวังมินดูดเม้มลิ้นผมราวกับลูกกวาดรสเลิสจนผมหอบหายจะรวยรินมันถึงยอมผละออกมา
อยากจะบอกว่าเคลิ้มเวอร์
“หวานจังครับ” ไอ้เด็กบ้ามันกระซิบคำหน้าอายที่ใบหูผม หน้าผมแดงฉ่าไปหมดร้อนจนถึงหูตัวเอง
“ถ...ถ้ามึงยังไม่หยุดพูดอะไรที่มันน่าอายอีกนะ โดนตีนกูแน่”
“คร้าบบบ” ดูมันตอบเหมือนตอบขอไปทีเลย แสดงว่าจะพูดอะไรแบบนี้อีกใช่ไหมเนี่ย O///O
“พี่ครับ” กวังมินมันหันมาเรียกผม
“อะ...อะไร”
“ผมรักพี่มากๆ นะครับ” บอกจบก็หันมายิ้มหล่อๆ ให้ผม นี่มันยิ้มพร่ำเพื่อเกินไปแล้วนะเฟ้ยย!!
“ปะ...ไปตายซะเหอะมึง!!!”
และหลังจากวันนั้นไอ้เจ้ากวังมินน้องชายของผม ก็ต้องเข้าเฝือกไปหลายวันเลยทีเดียว เนื่องจากโดนผมกระทืบใส่ไม่หยุดเพราะดันทำเรื่องอย่างนั้นอย่างงี้กับผม ไม่ต้องถามผมนะครับเรื่องอย่างนั้นอย่างงี้คืออะไร มันก็มีอย่างเดียวนั้นล่ะไอ้ xxooxxo ไม่รู้ซะแล้วว่าเวลาผมเอาจริงนะอย่าให้โม้เลยโดนแค่นี้จิ๊บๆ
Fin.
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่รีไรท์แล้ว
ซึ่งคำบรรยายอาจจะผิดและซอฟลง
ไปจากเดิมเยอะพอสมควร
0 ความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น
อ่านแล้วช่วยคอมเม้นต์กันนิดนึงนะครับ TT v TT